1/12/2012

จำเป็นไหมต้องมีอาเซี่ยน กับการศึกษาภาษาอังกฤษของเด็กไทย


การศึกษาภาษาอังกฤษกับเด็กไทยมักเป็นของคู่กัน ถ้าจะให้เปรียบกับบางสิ่ง คงจะเปรียบเสมือน ปาท่องโก๋ ที่ต้องอยู่ติดกันเป็นคู่แต่ก็ยังนับว่า หนึ่งตัว ทำไมผู้เขียนจึงเอาภาษาอังกฤษกับการศึกษามาเปรียบเสมือนกับปาท่องโก๋ อาจจะเป็นเพราะว่าการเริ่มต้นการจัดการเรียนภาษาอังกฤษนั้นมีมานานก่อนที่จะมีการศึกษาภาคบังคับเสียอีก ซึ่งถ้าจะให้เท้าความคงต้องท้าวคามยาวตั้งแต่ การที่มีฝรั่งชาวต่างประเทศ ได้เริ่มเข้ามาติดต่อ ทางสัมพันธไมตรี ทางการค้า และเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ วิทยาการต่าง ๆ ของชาวตะวันตก ก็ได้เข้ามาเผยแพร่มากขึ้น เริ่มมีการสอนหนังสือภาษาอังกฤษ ขึ้นในพระบรมมหาราชวังแก่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน

(http://allknowledges.tripod.com/historyofthaieducation.html)

จนบางคนเริ่มมีคำถามในใจแล้วเกี่ยวอะไรด้วยกับความจำเป็นต้องมีอาเซียน แล้วอาเซี่ยนคืออะไร ทำไมคนไทยหรือแม้กระทั้งชาวเอเชียยังต้องตื่นเต้น

อาเซี่ยน (Asean) นั้นความจริงแล้วมาจากคำว่า Association of South East Asian Nations ซึ่งมีความหมายว่า สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นองค์กรทางภูมิรัฐศาสตร์และองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศสมาชิกทั้งหมด๑๐ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า

อาเซียน มีพื้นที่ราว ๔,๔๓๕,๕๗๐ ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว ๕๙๐ ล้านคน อาเซียนมีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ได้ถูกยกเลิกไป

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้มีการลงนามใน "ปฏิญญากรุงเทพ" อาเซียนได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรัฐที่เป็นสมาชิกเริ่มต้น ๕ ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติหลังจาก พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี ๑๐ ประเทศในปัจจุบัน

กฎบัตรอาเซียนได้มีการลงนามเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการกำหนดเขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.๒๕๕๓ และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน โดยมีการร่วมมือกันในด้านต่างๆประกอบด้วยสามด้าน คือ ๑) ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ๒ )ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและประชาคมสังคม และ ๓) วัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘

และการเปิดประตูการค้าของเมืองไทย ให้เป็นเขตการค้าเสรีตามข้อตกลงที่ได้ทำขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ ๖ ประการ คือ ๑)ให้ความเคารพแก่เอกราช อำนาจอธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณภาพแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ของชาติสมาชิกทั้งหมด ๒) รัฐสมาชิกแต่ละรัฐมีสิทธิที่จะปลอดจากการแทรกแซงจากภายนอก การรุกรานดินแดนและการบังคับขู่เข็ญ ๓) จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐสมาชิกอื่น ๆ ๔) ยอมรับในความแตกต่างระหว่างกัน หรือแก้ปัญหาระหว่างกันอย่างสันติ ๕) ประณามหรือไม่ยอมรับการคุกคามหรือการใช้กำลัง ๖) ให้ความร่วมมือระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ

(wikipidea : 2554)

เมื่อได้ทราบอย่างนี้แล้วผู้อ่านคิดว่า จำเป็นไหมที่ต้องมีอาเซี่ยน เด็กไทยพร้อมแล้วหรือยังกับ การแข่งขันที่จะเริ่มต้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

12/23/2011

การศึกษาภาษาอังกฤษของเด็กไทยกับการก้าวสู้ประชาคมอาเซี่ยน

การศึกษาในประเทศไทย ได้มีมาแล้วหลายร้อยปี แต่ถ้ากล่าวถึงการศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยนั้น เริ่มมีขึ้นเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2464

(คณะกรรมการเฉพาะกิจจัดทำหนังสือเมืองไทยของเรา เล่ม 2: หน้า 104.)

ตามกฎหมายไทย รัฐบาลจะต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่าแก่ประชาชนเป็นเวลา 12 ปี ส่วนการศึกษาภาคบังคับในปัจจุบันกำหนดไว้ 9 ปี ระบบโรงเรียนที่ถูกจัดไว้มีตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้นตามลำดับ แต่หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว บุคคลสามารถเลือกได้ระหว่างศึกษาต่อสายสามัญในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเลือกศึกษาสายวิชาชีพ หรืออาจเลือกศึกษาต่อในสถาบันทางทหารหรือตำรวจ

ในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะต้องผ่านระบบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งโดยปกติจะเสร็จสิ้นในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งติดอยู่ในอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชียจาก QS Asian University Rankings 2011

( http://www.topuniversities.com/university-rankings/asian-university-rankings/2011)

ถึงกระนั้นการศึกษาภาษาอังกฤษของเด็กไทยก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่อย่างมาก แม้ว่าปัจจุบันภาครัฐได้มีการกำหนดให้ศึกษาภาษาอังกฤษตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติกับการพัฒนาระบบการบริหารการศึกษาของไทย ฉบับแก้ไขฉบับที่ ๒ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๒ มาตรา ๒๓ ยังว่าไว้ด้วยว่า การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษาในเรื่องต่อไปนี้ ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง

(พ.ร.บ.การศึกษา: มาตรา ๑๗, ๒๓ (๔))

เด็กไทยก็ยังไม่สามารถใช้อังกฤษซึ่งนับว่าเป็นภาษาสากลในการสื่อสารได้เท่าที่ควรทั้งๆที่ มีการบรรจุไว้ในพระราชบัญญัติเพื่อการศึกษา และหลักสูตรเป็นเวลานาน ซึ่งผู้เขียนในฐานะเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาการสอนภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต จึงมีคำถามในใจว่า ประเทศไทยพร้อมสำหรับเข้าร่วมประชาคมอาเซี่ยนที่จะเริ่มในอีกไม่กี่ปีที่จะถึงนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังประเทศไทยมีปัจจัยอะไรเป็นตัวแปรสำคัญทำให้เด็กไทยไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เท่าที่ควร และถ้าหากประเทศไทยได้ตะหนักถึงปัจจัยต่างๆที่มีผลกระทบเด็กไทย จึงทำให้เด็กไทยสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไม่แพ้ชาติอื่นๆและพร้อมสำหรับเข้าสู่ประชาคมอาเซี่ยนอย่างแท้จริง

9/01/2008

People are never satisfied with what they have; they always want something more and something different.

Do you think that people want something new and different and are never satisfied with what they have? Well, some people might oppose this point. However, for the following three points and examples, I strongly insist that as people get more, they want something even more. Now, I will give you my three points that support my position.


To begin with, many people think that they want to walk when they are running. They then want to sit if they are walking. Next, if they are sitting, they want to lay down. Then, they want to fall asleep. This shows us how people are never satisfied with what they have. Once they have accomplished something, they want to get something more and more. This is the first point of my view.


As to the second point, people especially students want lots of clothes even after they bought clothes. My friends in grade nine really like wearing many different kinds of clothes. They said that made their parents angry but they were never satisfied with their clothes. In this situation, it is clearly showing that people are never satisfied with what they have.


The very last point is related to money. As you all know, people love money because they know that they wouldn’t be able to do anything without money. Nevertheless, people always want more money as they earn more. We can’t deny this fact. Well, some won’t do but over 80% of people will probably want more money. They never get satisfied with money and this is evidently telling us that people always want something more.


All things considered, some people would strongly disagree with the point that people are never satisfied with what they have, as mentioned. Yet, for the previous three examples, we can easily say that people always want something more and never feel sufficient with what they have. Hence, I certainly agree that people are never pleased with what they have and want something more.

All students should be required to study art and music in secondary school.

In the post-modern world, many individuals believe that all students in secondary schools should be required to learn art and music. However, a lot of persons argue that those students should have their rights to choose or not to choose to study those subjects. Personally, I agree with those who recommend that all students should study art and music subjects as the requirement of the schools. Among the main reasons are that it will help students to develop their imagination, to reduce their stress, and to find part time jobs easily.


If art and music subjects are fundamental subjects in secondary schools, all students will learn to improve their imagination. Students in secondary schools have to learn many subjects such as statistics, mathematics, sciences, and those subjects make them think only about the fact and rational things. By studying music, teacher will teach them to play some music instruments. They can create their own songs. In terms of studying art, all students will have opportunities to learn how to draw both portrait and scenes. They can imagine the persons who created the theories that they have learned from science class. These subjects teach a lot in imagination.


Without studying art and music, students will find the difficulty to entertain themselves to reduce the pressure and stress. Secondary students have a lot of pressure and they are very stressful from many competitions in education. Normally most students do not know how to decrease those stressful things. Thus, if they are required to study art and music subject, teacher will teach them to sing some songs and create their own sculpture. Of course, they will be very enjoy and forget about the stresses on their heads.


Last but not least, all students who required studying music and art will easily find part time jobs. Secondary students are in the age that has to find their jobs support help their parent’s expenses. When they study these particular subjects, they will have more chance than others. Many restaurants will want persons who can sing and play music instruments to perform entertainment activities.


All in all, I agree with the idea that all students in secondary school have to study art and music as a must. There are a lot of benefits from these subjects that students cannot find from other subjects. They will have range of varieties knowledge and have more choices in their careers in the futures. I predict that all secondary schools will put these two subjects as requirement subjects of their schools. How can people deny the importance of art and science subjects?

Schools should ask students to evaluate their teachers.

It is controversial that whether schools should ask students to evaluate their teachers or not. To my opinion, students should be asked about their teachers. Those evaluations are good for the teachers, the school administrators and the students themselves.


Student evaluations are good for teachers. From those evaluations, teachers know what students like or dislike about the class. They realize which subject students think is difficult or easy. They discover activities that students enjoy as well. Therefore, teachers find out ways that reach students and avoid ways that don’t. For example, they can change the way they present a lecture or a talk. Or they can encourage students to participate in activities they like. All of these things are to improve classes to meet students’ demandS/NEEDS.


Student evaluations are good for school administrators. Student evaluations give an idea of which teachers are most effective and popular among students. They help administrators to know if students are satisfied or dissatisfied with the school program. With these evaluations, administrators work better with teachers. They can work together to improve the school program.


Student evaluations are good for students themselves. They have to think carefully before deciding whether a teacher does well or badly in his teaching. They have a chance to give their opinions about activities which they think are interesting and which they think not. They have to think of what kind of help they need in their study. In other words, to make evaluations offer students opportunities to develop their honesty and responsibility.


In conclusion, those reasons make it a good idea to let students evaluate their teachers. For improvements in our education system, that is an excellent choice.

Decisions can be made quickly, or they can be made after careful thought.

If the question asked was whether or not a decision that is quickly made is always wrong, and required an absolute yes-no answer, I think the answer had to be a resounding "no". While carefully thinking out decisions can be important, there are many decisions that are best suited to impulsive, spontaneous outcomes.


Consider I am sitting home alone one morning, contemplating what to do with my day. There are a number of things I should get done during the day: I have to clean my apartment, as well as do some grocery shopping. A friend calls, and invites me to see an art exhibition that sounds very interesting. This situation does not require a carefully thought out decision. I can easily put off my small errands for later in the day, or even until the next day. The decision was made very quickly, and, in my opinion, was definitely not wrong.


A second example can be seen at the workplace. I am employed at a busy real estate office. I have a number of responsibilities that I have to contend with during the day. If I took the time to carefully think out each decision I made during the day, my company would quickly lose many important deals. In some situations, one must act on instinct in order to get the job done as quickly and efficiently as possible.


With that said, there are, of course, situations which do require careful thought and consideration before reaching a decision. For example, buying an apartment or a house is a very big decision to make. In this circumstance, I would not make a choice without careful evaluation of all of the information available.


While some decisions require very careful thought, others can easily be made quickly and still be correct. If I had to carefully consider all of the decisions I have to make in a day, I would never get anything accomplished.